จบไปแล้วอย่างสวยงามกับรายการที่เฟ้นหาบอยแบนด์ประดับวงการ TPOP อย่าง ‘LAZ iCON ไอคอนป๊อป ตัวท็อปเดบิวต์’ รายการที่มีการจับมือกันระหว่าง Lazada และช่องวัน 31 ซึ่งผู้ชนะรายการนี้ได้แก่ “ต้าห์อู๋ – พิทยา แซ่ฉั่ว, ออฟโรด – กันตภณ จินดาทวีผล, ไดร์ม่อน – ณรกร ณิชกุลธนโชติสุข, เจลเลอร์ – กฤติมุก จันทร์ชื่น และ เป็นต่อ – จีรภัทร พิมานพรหม” โดยเด็กฝึกทั้ง 5 คนเป็นผู้ได้รับคะแนนโหวตสูงสุดจากการโหวตผ่านแอปพลิเคชัน Lazada
วันนี้เราได้มีโอกาสสัมภาษณ์ออนไลน์กับ “ต้าห์อู๋ – พิทยา แซ่ฉั่ว” ผู้ชนะในรายการอันดับที่ 1 ซึ่งได้รับคะแนนโหวตไปถึง 3,969,473 คะแนน ซึ่งนับได้ว่าเป็นคะแนนที่สูงมากเลยทีเดียว ต่อไปเรามาทำความรู้จักกับเด็กหนุ่มมากความสามารถคนนี้กันเลยดีกว่า….
ช่วยแนะนำตัวเองหน่อย เป็นใครมาจากไหน ? มาสมัครรายการนี้ได้ยังไง ?
สวัสดีครับ “ต้าห์อู๋ พิทยา” นะครับ มาจากรายการ LAZ iCON ตอนนี้ก็เป็นผู้ชนะ และก็ได้เดบิวต์เป็นศิลปินในสังกัดช่องวัน31 และก็ครอบครัว Lazada ครับผมมมม
ก็ถ้าถามว่าทำไมถึงมาสมัครรายการนี้ใช่ไหมครับ…ก็ จริงอย่างที่บอกครับ เราเนี่ยเป็นคนที่ชอบเข้าหาโอกาส และก็ตอนนี้สิ่งที่ทำ การร้อง การเต้น มันเป็นสิ่งที่เรารัก ทำมันมาตั้งแต่เด็ก ๆ อยู่แล้ว แต่ว่าเส้นทางที่เราเริ่มร้องกับเต้น มันเริ่มตั้งแต่ 2ปีที่แล้วที่เราได้ไปออดิชั่นรายการจีน ซึ่งเราก็ผิดหวังมาตลอด จนกระทั่งเราเห็นโอกาสว่า ช่องวัน31 กับ Lazada ได้เปิดออดิชั่น และก็มีคนทักมาว่าลองไปดูไหม อะไรแบบนี้ เราก็ไม่ลังเลเลยที่จะกรอกใบสมัคร แล้วก็ส่งคลิปออดิชั่น ทำให้ได้มามีโอกาส และก็ได้เป็นผู้ชนะในรายการนี้ครับ
พอเรามาถึงจุดนึงที่เขาเรียกเราว่าศิลปินแล้ว ต่อไปสิ่งที่เราอยากเป็นคืออะไร
มันมีความรู้สึกให้เรามีเป้าหมายใหม่ ซึ่งเป้าหมายของพวกเราก็คือเป็นศิลปินที่ดี
พอเราชนะแล้ว เรารู้สึกยังไงบ้างที่ได้เป็น 1 ใน 5 คนที่ได้เดบิวต์ ?
เอ่ออ…ความรู้สึกจริง ๆ มันมีหลายความรู้สึกมากครับ มันรู้สึกดีใจ และมันก็รู้สึกกลายเป็นว่า รายการนี้มันมาจากคะแนนโหวต พอคนโหวตให้เราเรารู้สึกว่า คนเริ่มเห็นในความสามารถ เริ่มเห็นในศักยภาพเราแล้ว ก็เลยรู้สึกว่า สเต็ปต่อไปเราต้องทำไรต่อ อะไรคือการเป็นศิลปิน ? แล้วเป็นศิลปินไปทำไม ? แล้วเป้าหมายของการเป็นศิลปินมันคืออะไร ? พอเรามาถึงจุดนึงที่เขาเรียกเราว่าศิลปินแล้ว ต่อไปสิ่งที่เราอยากเป็นคืออะไร มันมีความรู้สึกให้เรามีเป้าหมายใหม่ ซึ่งเป้าหมายของพวกเราก็คือเป็นศิลปินที่ดี เพราะฉะนั้นตอนนี้มันเป็นช่วงที่ต้อง find out มาก ๆ เลยว่าศิลปินที่ดีคืออะไร ถ้าถามว่าเดบิวต์แล้วรู้สึกยังไง ? มันน่าตื่นเต้น มันน่าตื่นเต้นตรงที่เราไม่รู้เลยว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง แล้วก็มันน่าสนุกมากเพราะว่า มันเป็นเส้นทางที่เราไม่เคยเดินมาเลย
ความฝันเราอยากมีคอนเสิร์ต เราอยากร้องเพลงให้แฟนเพลงเราฟัง เราอยากมีแฟนเพลง
ความรู้สึกตอนที่ประกาศว่าเราเป็นผู้ชนะ เรารู้สึกว่ามันเกินความความหวังเราไหม ?
ตอนประกาศชื่อว่า “ต้าห์อู๋ เด็กฝึกอิสระ” เราแบบมันเหมือนในใจมันปลดล็อคอะไรหลาย ๆ อย่าง มันสบายใจด้วย มันแบบทำสำเร็จแล้วนะ รวม ๆ แล้วมันดีใจมาก ๆ มันมีความสุข มันแบบสิ่งที่เราพยายามมาทั้งหมด ตลอดระยะเวลา 3 – 4 เดือน ถ้ารวมประสบการณ์ด้วยก็ 2 ปี เกือบ 3 ปีอะไรแบบนี้ครับ มันสำเร็จในจุดที่แบบเราเดินทางมาถึงอีกจุดนึงแล้วนะ ที่เราจะได้ไปทำตามความฝันเราต่อ เพราะว่าความฝันเราไม่ได้เป็นแค่ศิลปิน ความฝันเราอยากมีคอนเสิร์ต เราอยากร้องเพลงให้แฟนเพลงเราฟัง เราอยากมีแฟนเพลง อะไรแบบนี้ครับ
อู๋อยากกอดหวะ
เรามาถามความรู้สึกกันหน่อย รู้สึกยังไงบ้าง ที่เราเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ขึ้น Final Stage ?
ถ้าถามความรู้สึกจริง ๆ ผมรู้สึกเศร้าแค่ตอนแรก ๆ ที่แบบว่าเราไม่ได้ขึ้น แต่ว่าไม่ได้แปลว่าเราไม่ได้มีส่วนในนั้น เพราะฉะนั้นจริง ๆ เรายังมีกระบวนการต่าง ๆ ในการที่ถ้าเราไม่ได้ขึ้น เราต้องทำอะไรต่อ เราต้องทำงานต่อ เพราะฉะนั้นอย่างผมมันร้องไห้ได้แค่แปปเดียว เศร้าได้แค่แปปเดียว เราต้อง Move on เลย ในการทำกระบวนการต่อไป การเตรียมตัวไลฟ์ การเตรียมตัวร้องเพลง การอัดเสียง การทำอะไรหลาย ๆ อย่าง การทำคิว เพราะฉะนั้นพอมาถึงในจุดที่แบบเราต้องทำต่อแล้ว ก็ไม่ได้เศร้าแล้วจริง ๆ มันแอบตลก (5555) แอบคิดว่าตัวเองเป็น Jarvis ใน Avengers คอยอยู่ในคอมฯ ในหน้าจอ ก็เท่ไปอีกแบบครับ เราก็คงต้องปรับตัว ในเมื่อแบบว่าเราอยู่ในสังคมใหม่แล้ว ผมก็เลยไม่ได้เสียใจมาก แต่ก็แอบแบบตอนที่เพื่อนอยู่รวมกัน ร้องเพลง เราก็แบบ “อู๋อยากกอดหวะ” อะไรแบบนี้ มันก็คงมีความรู้สึกงั้นด้วย รวม 35 คนครั้งสุดท้ายด้วย ด้วยความผูกพันมาก มันน่าจะเป็นความรู้สึกที่แบบน่าเสียดายมากกว่านิด ๆ หน่อย ๆ แต่ก็ไม่ได้เศร้าอะไรแบบนั้นครับ
เราจะแข่ง หรือเราจะทำโชว์ให้มันออกมาดี
เราจะฆ่าคนอื่น หรือเราจะทำยังไงก็ได้ให้โชว์ออกมาดีที่สุด
เรามาย้อนกันหน่อยดีกว่า…ย้อนกลับไปตั้งแต่ที่เราเริ่มเข้าแข่งขัน จนถึงปัจจุบัน เราชอบ Stage ไหนมากที่สุด ?
อ่า…สเตจที่ผมชอบมากที่สุดก็จะเป็นสเตจ “Leave The Door Open” เพราะว่าผมชอบร้องเพลงมาก ๆ แล้วก็สเตจนั้นเป็นสเตจที่ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็น Vocalist มาก ๆ ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่สเตจที่แบบว่าเป็น Position แต่ว่าด้วยความที่เพลงมันคือเพลงสากลด้วย และก็เป็นเพลงของศิลปินที่ผมชื่นชอบด้วย ก็เลยรู้สึกชอบมาก ๆ ถ้านอกจากเรื่องเพลง แล้วก็ Perform มันเรียกว่าเป็นจุดเปลี่ยนของการทำงานกับมิตรภาพจริงๆ ตอนนั้นมันมีคำถามแบบว่า ตอนนั้นเป็นการแข่งขันแบบ 2 2 2 มันมีคำถามอยู่ในใจว่า “เราจะแข่ง หรือเราจะทำโชว์ให้มันออกมาดี” เราจะฆ่าคนอื่น หรือเราจะทำยังไงก็ได้ให้โชว์ออกมาดีที่สุด สุดท้ายคำตอบเราตอบกับตัวเองในทันที่เลยว่าแบบ เราแค่อยากมา Perform บนสเตจไม่ได้อยากมาชนะ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมทำในวีคนั้น และวีคต่อ ๆ มา และแทบจะถูกวีคเลยก็คือ การที่เราจะแชร์ไอเดียให้คนอื่นให้ออกมาดีที่สุด การช่วยกันแล้วโชว์มันออกมาดีที่สุด และถ้าย้อนกลับไปดูจะไม่เคยเสียดายอะไรแบบนี้ นั่นแหละครับมันก็เป็นอีกจุดนึงที่ผมเริ่มชอบสเตจที่ 2 มากที่สุด มันเหมือนมันได้หาจุดที่เราจะอยู่รายการนี้แล้วมั่นคงต่อไปจนถึงจบสเตจไฟนอลเลยครับ
เราเห็นว่าน้องพยายามนะ แล้วก็ไม่เคยหยุดพยายามด้วย ถึงแม้ว่ามันจะใหม่มาก
พอพูดถึงสเตจที่ 2 รู้สึกว่าเราได้มีการเลือกพาร์ทเนอร์มาร่วมโชว์กับเรา อยากให้บอกหน่อยว่า ทำไมถึงเลือก “ออฟโรด” มาเป็นพาร์ทเนอร์เรา
จริง ๆ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างห่วงความรู้สึก ผมเป็นห่วงคนง่ายดีกว่า แล้วด้วยตอนที่อยู่สเตจไฟเยอร์ ทุกคนเก่งหมด จริง ๆ ออฟโรดก็เก่ง แต่แค่ว่าตอนนั้นออฟโรดใหม่มาก ๆ แล้วเรามีสิทธิ์เลือกก่อน แล้วเราเห็นว่าจริง ๆ น้องมีความพยายามมาก ๆ เรานัด 8 โมงก็มา 8 โมง แบบถือไก่ทอด ข้าวเหนียวไก่ย่างมากินอะไรแบบนี้ เราเห็นว่าน้องพยายามนะ แล้วก็ไม่เคยหยุดพยายามด้วย ถึงแม้ว่ามันจะใหม่มาก แรก ๆ น้องอาจจะแบบท้อไปบ้าง ไม่ไหวบ้าง แบบตอนแรกแทบจะ Give up เลยอย่างนี้ เดินออกจากห้องซ้อมไปเลย แต่ว่าพอถึงจุดนึงเราอธิบายให้เข้าใจ แล้วเขาก็เข้าใจ แล้วเขาพยายามต่อมาโดยที่ไม่เคยมีวันไหนที่บ่นว่าผมท้อ ผมเหนื่อย อาจมีพูดว่าไม่ได้ แต่พอผมพูดว่าทำได้ น้องก็ทำต่อ มันก็เลยเป็นจุดที่ทำให้ผมรู้สึกว่า…ก็อย่างที่บอกครับ ช่วงแรก ๆ ตอน EP.2 มีช่วงที่ผม Wondering ผมจะแข่งขัน หรือว่าผมจะสร้างอะไรบางอย่างในการเข้าร่วมรายการนี้ ผมเลยรู้สึกว่ามันเป็นรอยต่อมาก ๆ เลยจริง ๆ ผมจะเลือกคนเก่ง ๆ มาเลยก็ได้ ผมอาจจะเลือกพี่แตม ผมอาจจะเลือกน้องบุญ แต่ว่าตอนนั้นมันทำให้ผมรู้สึกว่า อะไรที่ทำให้เราแบบว่าพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีก ใช่ไหมครับ ? ผมรู้สึกว่าการ Sharing ครับ ผมก็เลยเลือกออฟโรดขึ้นมา เพราะตอนนั้นจริง ๆ ด้วยหลายความรู้สึกด้วย เป็นห่วงด้วย นั่นแหละครับ หลัก ๆ ก็คงเป็นห่วงมากกว่า แล้วก็อยากแชร์มากกว่า ก็เลยเลือกขึ้นมาเป็นพาร์ทเนอร์ แล้วผลมันก็ออกมาดีเหมือนที่เราคิดไว้ว่า เราประเมินคนไม่ผิด แล้วเราก็เชื่อมันในสิ่งที่ไม่ผิดว่า ถ้าเราเชื่อว่าทำได้ มันก็ต้องทำได้ครับ
This my best choice แล้วครับ ผมแบบเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง
แล้วถ้าสมมุติว่าเราได้ย้อนกลับไปตั้งแต่เริ่มต้น เราอยากจะเปลี่ยนพาร์ทเนอร์ดูไหม ?
ไม่เปลี่ยนครับ…ถ้ามีโอกาส ถ้าต้องเปลี่ยนก็คงไม่เปลี่ยน ผมคิดว่าช่วงเวลาที่ผ่านทั้งหมด ผมแบบ This my best choice แล้วครับ ผมแบบเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง ถึงแม้ว่าต่อให้มันจะพลาดก็ตาม มันก็คงเป็นบทเรียนที่ดีที่สุดของผมแล้วครับ
คงไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก ออฟโรดต้องขอบคุณตัวเองมากกว่าที่แบบว่าเชื่อใจพี่
งั้นให้พูดถึงพาร์ทเนอร์ของตัวเองหน่อย มีอะไรอยากจะบอกเขาไหม ?
ก็ยังไม่ได้พูดเลยเนาะ ก็เคยบอกกับเขาไว้แล้วว่า ไป Final Stage ด้วยกัน แล้วก็สุดท้ายแล้วมันไม่ได้แค่ไป Final Stage ด้วยกัน มันประสบความสำเร็จไปด้วยกัน เราก็รู้สึกว่าเราดีใจนะ ดีใจที่แบบเขา Keep Trying มาตลอด เขาพยายามมาตลอด จากตอนแรกที่แบบไม่ค่อยมีใครเห็นเขาเลย เขาอยู่อันดับที่แบบ 32 อะไรแบบนี้ เราพูดอะไรเขาทำ เราพูดอะไรเขาก็ Active ตลอด จนตอนนี้มีคนรักเขาเยอะมาก ก็รู้สึกดีใจ แล้วก็ไม่รู้จะพูดอะไร ก็คงไม่ต้องขอบคุณพี่หรอก ออฟโรดต้องขอบคุณตัวเองมากกว่าที่แบบว่าเชื่อใจพี่ ที่ตั้งแต่ถามคำถามแรกว่าแบบเชื่อใจพี่ไหม แล้วออฟโรดตอบมา พี่ก็รู้สึกได้ว่าเออเชื่อใจจริง ๆ แล้วก็แบบปรับกันมาจนถึงตอนนี้ครับ มันก็ดี มันเป็นความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ค่อยมีเรื่องให้แบบ ไม่มีเรื่องให้แบบเกลียดกันเลย ก็เลยรู้สึกว่าก็คง Look After กันต่อไป ดูแล ระวังหลังให้กันตลอดไป จนกว่าว่าเราจะสิ้นสุดการร่วมงานด้วยกัน ก็ขอให้เรายังไงก็เป็นมิตรภาพที่ดีต่อไปเรื่อย ๆ ครับ สู้ ๆ
ผมเชื่อว่าทุกคนเอ็นดูในความพยายาม
เป็นมิตรภาพดี ๆ ดีกว่าที่คุณเห็นแล้วคนก็เอ็นดู
แบบนี้ เคยคิดไหมว่า การที่เราได้มาอยู่ตรงนี้เป็นเพราะกระแสคู่จิ้น ?
สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อมั่นมาตลอดคือ ความสามารถของผมครับ ผมไม่กล้าพูดเต็มปากว่าถ้าไม่มีออฟโรดผมก็จะมาเป็นที่ 1 ได้ หรืออะไรยังไง แต่ว่าผมเชื่อว่าทุกคนเห็นในความสามารถของผม แล้วผมเชื่อว่าคนที่เชียร์เราเขาไม่ได้เชียร์ว่าเราเป็นคู่จิ้น เป็นแฟนกัน เขาคงไม่ได้คิดว่าเป็นคู่จิ้น เขารักกันต้องเอาเขาไปแบบชนะอะไรแบบนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนเอ็นดูในความพยายาม ทุกคนเอ็นดูในความที่แบบการที่เรายิ่งแบบมีเพื่อนที่มันสนับสนุนด้วยกันคนจะยิ่งเอาใจช่วยมากขึ้น ผมเลยไม่คิดเลยว่าแบบมันเกิดจากกระแสคู่จิ้นอะไรแบบนี้ครับ คิดซะว่าเป็นมิตรภาพดี ๆ ดีกว่าที่คุณเห็นแล้วคนก็เอ็นดู แต่ว่าถ้าจะพูดว่ามาตรงนี้ได้เพราะกระแสคู่จิ้นอยากให้ลองมองย้อนกลับไปดีกว่าว่าเราทำอะไรไว้บนสเตจตั้งแต่อีพีแรกจนอีพีสุดท้ายบ้าง ลองย้อนกลับไปดูว่าเราได้แบบตั้งใจทำผลงานอะไรมันออกมาบ้าง คุณภาพมันออกมาแล้วกับสิ่งที่เราพัฒนามาตั้งแต่อีพีแรกจนอีพีสุดท้ายมันเหมาะสมรึเปล่า ผมไม่สามารถตอบได้ ต้องให้แบบคนที่มีความคิดแบบนี้ แล้วก็ตั้งคำถามแบบนี้ ต้องลองมองย้อนกลับไปว่าจริง ๆ แล้วสิ่งที่ผมได้มามันเป็นเพราะกระแสคู่จิ้น หรือว่าความสามารถของผมครับ
มองพวกเราว่าเป็นแบบผงชูรสอะไรแบบนี้ ไปหยิบใส่ตรงนู้นก็อร่อย
ใส่ส้มตำก็อร่อยใช่ไหมครับ ใส่ข้าวผัดก็อร่อย ใส่แกงจืด แกงจืดยังอร่อยเลย
เราพูดถึงวงกันหน่อยดีกว่า รู้สึกยังไงบ้างที่ได้ร่วมงานกันกับอีก 4 คนที่เหลือ ?
การร่วมงานกับกรุ๊ปนี้นะครับ พวกเราทั้ง 5 คนจริงผมรู้สึกดีนะ เพราะว่าจริง ๆ ผมเคยร่วมงานกับทุกคนหมดเลยไม่ว่าจะเป็นออฟโรด น้องไดร์ม่อน เจลเลอร์ แล้วก็เป็นต่อ เรียกได้ว่าพวกเรา 5 คนผมน่าจะรู้จักทุกคนดี ส่วนใหญ่ดีมากเลย ไดร์ม่อนเราก็ร่วมมาสองวีคแล้ว แล้วก็เคยคุยกันแบบ เค้าเรียกว่าอะไรอ่ะ เคยคุยกันแบบหลังไมค์ที่แบบว่าคุยกันยาว ๆ อะไรแบบนี้ครับ ส่วนเจลเลอร์เองก็คือสนิทแล้วก็นั่งปรับทุกข์กันทุกวีค เป็นต่อเองผจญร่วมทางนี้กันมาเป็นปีแล้ว ออฟโรดก็คืออยู่ด้วยกันมาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าโอเค หนึ่งเลยคือมันทำงานง่าย เคมีมันก็แบบเคมีการพูดคุยมันสนุกอยู่แล้วมันไม่มีคำว่า แบบจุ่ย หรือแบบเดทแอร์อยู่ในนั้น ถ้าอยู่ด้วยกันก็แบบเออมันธรรมชาติ เพราะเราสนิทกันจริง ๆ ก็เลยรู้สึกว่าการทำงานคงจะเป็นไปด้วยดีอ่ะครับ แต่ว่าถามว่ารูปแบบวงจะเป็นยังไง มันก็จะต้องมาทำความรู้จักกันมากขึ้นว่าจริง ๆ แล้วลึก ๆ แล้วคุณชอบอะไร เพราะว่าตลอดระยะเวลาการอยู่ในรายการนี้มาทั้งหมด พวกเราแบบไม่ค่อยมีสิทธิ์ที่จะได้เลือกขนาดนั้น ก็ลองมาดูว่าพอเราได้เลือกแล้ว 5 คนเนี่ยมันจะรวมกันมาเป็นอะไร ผมเคยบอกว่า มองพวกเราว่าเป็นแบบผงชูรสอะไรแบบนี้ ไปหยิบใส่ตรงนู้นก็อร่อย ใส่ส้มตำก็อร่อยใช่ไหมครับ ใส่ข้าวผัดก็อร่อย ใส่แกงจืด แกงจืดยังอร่อยเลย ต้องรอดูกันว่าพวกเรา 5 คน รวมกันแล้วจะเป็นยังไง ติดตามนะครับ To be continue…
เอาความคาดหวังของทุกคนมาตั้งไว้ที่พวกเรา 5 คนได้เลย
เราจะไม่ลักไก่ทำอะไรโดยที่แบบปล่อย ๆ ออกไป
แฟนเพลง แฟนคลับ จะได้เห็นอะไรในวงนี้บ้าง ?
ผมบอกตอนผมขึ้นเดบิวต์เลยว่าเอาความคาดหวังของทุกคนมาตั้งไว้ที่พวกเรา 5 คนได้เลย เพราะว่าเราไม่รู้หรอกว่า แฟน ๆ ต้องการอะไร แต่สิ่งที่เราตั้งใจจะทำให้ คือสิ่งที่เราจะทำมันสุดความสามารถเลย อย่างเช่นแบบว่าเพลงที่เรากำลังจะต้องทำกัน มันก็ยังมีเพลงอื่นที่ต้องทำอีกเยอะใช่ไหมครับ เราคุยกันเลยว่าแบบมันต้องเป็นแบบสิ่งที่ออกมาแล้วแบบมันผ่านการกลั่นกรองมาในหลาย ๆ ระดับอย่างนี้ แล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นตัวเราแล้วก็คิดว่าเราจะไม่ลักไก่ทำอะไรโดยที่แบบปล่อย ๆ ออกไป ก็ต้องรอ ดูคาดหวังได้เลยครับ อย่างน้อยถ้าเห็นว่า Performance ในรายการเราดีแล้ว เราจะดีขึ้นอีก เราจะซ้อมเต้นเบสิกเรามีคลาสมาแล้ว เราจะไปซ้อมเต้นเบสิกให้ดีขึ้น ร้องเพลงให้ดีขึ้น แล้วก็เป็นตัวเองในแบบที่แบบว่าดีขึ้นนะครับผม แต่ว่าจะไม่เปลี่ยนไปแน่นอน รักทุกคนเหมือนเดิม
ผมร้องเพลงเศร้าแล้วคนร้องไห้ ผมร้องเพลงรักแล้วคนมีความสุข ผมโคตรมีความสุขเลยนะ
เส้นทางในวงการบันเทิงนอกจากจะเป็นบอยแบนด์แล้ว อยากลองทำอะไรอีกไหม ?
5555…ก็อย่างที่บอก ผมอยากแสดงหนังผี ถ้าได้แสดงหนังผีก็คง Success ไปแล้วแหละ ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่ว่าอยากลอง เพราะผมดูหนังผีเยอะมาก แล้วก็อย่างพวกหนังบู๊ หนังแอคชั่น ผมชอบนะ ผมชอบเตะต่อย เพราะเราก็ชอบเต้นจัดระเบียบร่างกายก็เลยอยากลอง แล้วก็ถ้ามีแบบว่าซีรีย์อะไรแบบนี้ก็เล่นได้หมดเลย MC พิธีกร นักร้องท่านหนึ่ง จ้างได้หมดเลยนะครับ ก็ลองดูถ้าผู้ใหญ่ให้โอกาสเราก็ยินดีที่จะทำหมดจริง ๆ ผมเคยถามตัวเองว่าจริง ๆ แล้วเราชอบอะไร เราชอบการร้องเพลง เราชอบการเต้น แล้วทำไมเราชอบร้องเพลง เราชอบเต้น เพราะว่าในการร้องเพลง การเต้น มันมีการสื่อสารออกไป มันมีการสื่อสารว่าทำไมเราถึงร้องเพลง แล้วเราร้องให้ใคร เวลาเต้นแบบนี้หมายความว่าอะไร เพราะฉะนั้นผมก็เลยอยากลองศาสตร์ใหม่ ๆ บ้าง ถ้าเป็นการแสดงแล้วเราได้สื่อสารจริง ๆ และถ้าเราสามารถสื่อสารออกมาได้ เราจะแฮปปี้ไหม เพราะว่าตลอดระยะเวลาที่ผมร้องเพลงแล้วผมร้องเพลงเศร้าแล้วคนร้องไห้ ผมร้องเพลงรักแล้วคนมีความสุข ผมโคตรมีความสุขเลยนะ แบบเราสามารถสื่อสารทำให้คนคนนึงเอ็นจอยโมเมนต์ไปได้ ก็เลยคิดว่าถ้าเราสามารถพาคนเอ็นจอยโมเม้นต์ไปในรูปแบบอื่น ๆ เช่น การแสดง การโชว์อะไรต่าง ๆ การเอ็นเตอร์เทรน ผมก็เลยรู้สึกว่าอยากลองทำหมด
ที่บอกว่าอยากเล่นหนังผี เราอยากได้รับบทอะไร ?
ไม่รู้เหมือนกันนะ คือผมอยากเล่นหนังผี ผมอยากโดนผีหลอกอะทุกคน ในชีวิตผมไม่ค่อยโดนผีหลอก แต่ว่าแบบผมชอบแอคชั่นจริง ๆ ผมชอบการสื่อสารนั่นแหละ ผมชอบเวลาแบบเวลาผมดูแล้วว่าเขากลัว กลัวจริง ๆ ผมอยากรู้ว่าแบบผมกลัว ต่อมความกลัวแต่ละคนมันเป็นยังไง อยากค้นพบตัวเองมากขึ้นอ่ะทุกคน ผมชอบคราสการแสดงมาก เพราะมันทำให้รู้จักตัวเองมากขึ้น นั่นแหละครับมันก็เลย ทำไมถึงอยากแสดงหนังผี ผมอยากรู้ว่าอิโมชั่นของผมสุด ๆ มันเป็นยังไงครับ
อยากจะบอกว่ายังไงก็อยู่รอดูเราเติบโตไปด้วย เพราะว่าเราเองมาเราก็มีพวกยูแล้ว
แต่ว่าถ้าเราเติบโตไปแล้วเราไม่มีพวกยู เราก็คงเคว้งอ่ะ
พูดถึงแฟนคลับเราหน่อยเหล่าไดโน่ของเรา อยากจะพูด อยากจะขอบคุณอะไรเขาไหม ที่เขามีส่วนในการส่งเราให้มาได้ที่ 1 ?
โหว…มันมีเรื่องต้องขอบคุณกันอีกยาว ๆ เลย คือการที่จะมาซัพพอร์ตใครคนนึง ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ทำกันง่าย ๆ นะ เพราะว่าเราเองก็เป็นคนที่ชื่นชอบศิลปินเหมือนกัน แต่ว่าเราชอบเราก็แค่พูดว่าชอบ แต่แบบอันนี้คือต้องใช้คำว่าเขารักเราจริง ๆ มันเกินคำว่าชอบไปแล้วอ่ะ มันคือคำว่ารักเรา ซึ่งเราก็รับรู้ได้แล้วมันก็คือความสุขที่ให้เรามา ซึ่งเราก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่เราทำอยู่มันก็เป็นความสุขของเขา ก็จะบอกไดโน่ว่าขอบคุณนะครับที่ซัพพอร์ตกัน อู๋จะใช้ชีวิตให้ดีที่สุด จะระวังตัวเองให้ดีที่สุดจะรักษาสุขภาพ แล้วก็จะพยายามทำผลงานออกมาให้ไดโน่แบบไม่น้อยหน้าใครเลย แล้วก็ให้ไดโน่ภูมิใจ เหมือนพ่อแม่เลยเนาะ (555) แล้วก็อยากจะบอกว่ายังไงก็อยู่รอดูเราเติบโตไปด้วย เพราะว่าเราเองมา เราก็มีพวกยูแล้ว แต่ว่าถ้าเราเติบโตไปแล้วเราไม่มีพวกยู เราก็คงเคว้งอ่ะ ยังไงก็อย่างที่บอกไปอยากจะบอกไดโน่ว่า อยู่เคาท์ดาวน์กับเรา ถ้ายังไม่มีใคร เราเชื่อว่าหลายคนอาจจะโสดอยู่นะฮะ ก็โสดไปกับเรานะครับผม ไปอยู่ด้วยกันอยู่ด้วยกันนะครับผม ไปอยู่ในงานเคาท์ดาวน์ ไปอยู่ทุกเทศกาลอะไรแบบนี้ มาคอยแชร์ความสุขให้กันนะครับ แล้วก็ขอบคุณที่เข้ามาเป็นสิ่งดีจริง ๆ สิ่งดีในชีวิตเพราะว่า เราเคยตัวคนเดียวมาตลอดถึงแม้เราจะมีครอบครัวก็ตาม แต่ว่าในหลาย ๆ ครั้งรู้สึกว่าเราทำไปแล้ว เรามีความสุขกับใคร ใครจะยินดีกับเรา แต่ว่าตอนนี้มันมีทั้งคนที่พร้อมจะดูเราผิดหวัง คนที่พร้อมจะยินดีกับเราทุก ๆ เหตุการณ์ มันเลยค่อนข้างจะสบายใจ นั่นแหละครับ…ยินดีนะ แล้วก็แฮปปี้มาก ๆ ที่มีแฟนคลับ แล้วก็ไดโน่ทุกคนเข้ามาในชีวิตครับ
คงไม่มีความรักไหนยิ่งใหญ่เท่ารักที่ป๊ากับม๊าให้
คงไม่มีใครที่ยอมดูเราผิดพลาด ล้มเหลวบ่อย ๆ อดทนรอความสำเร็จอะไรแบบนี้
นอกจากไดโน่แล้ว มีใครที่เราอยากจะขอบคุณเป็นพิเศษอีกไหม ?
ก็คงจะต้องขอบคุณป๊าม๊า ซึ่งเรื่องนี้อู๋พูดกับเขาทุกวันเลยว่าขอบคุณป๊ากับม๊านะที่สร้างลูกคนนี้ออกมาที่แบบ ที่เลี้ยงลูกมาแบบนี้ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยมีเวลากับเรา 1 ปีเขาอยู่กับเราได้แค่ 6 เดือน เพราะเขาต้องไปทำงานต่างประเทศ ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รวยเหมือนใคร ถึงแม้ว่าทุกอย่างมันจะไม่ได้ดีพร้อม แต่ว่าสิ่งที่ไม่ต่างจากคนอื่นเลยคือความรักความเข้าใจที่ป๊ากับม๊าให้เรามา แล้วก็สอนเราด้วยความจริงใจทุกอย่าง แล้วก็รู้สึกว่าแบบ คงไม่มีความรักไหนยิ่งใหญ่เท่ารักที่ป๊ากับม๊าให้ แล้วก็คงไม่มีใครที่ยอมดูเราผิดพลาด ล้มเหลวบ่อย ๆ อดทนรอความสำเร็จอะไรแบบนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะแบบอายุจะเยอะแล้วไม่เคยตั้งความคาดหวังว่าต้องเลี้ยงให้เขาสบาย ยังพร้อมจะซัพพอร์ตเราถึงแม้ว่ามันจะไม่มีก็ตาม มันเป็นความรักที่แบบมันทำให้เรารู้สึกรักครอบครัว แล้วรักตัวเองมากขึ้น ก็ขอบคุณป๊ากับม๊าด้วย ขอบคุณป๊ากับม๊าที่เลี้ยงอู๋มาแบบนี้ แล้วก็โคตรรดีใจเลยที่แบบเกิดมาเป็นลูกเขา
สุดท้ายแล้ว ฝากผลงาน ฝากช่องทางให้ได้ติดตามกันหน่อย
สำหรับแฟนคลับ และคนที่ผ่านไปผ่านมานะครับ พวกเราก็กำลังจะมีผลงานเร็ว ๆ นี้ครับ ซึ่งแน่นอนนะครับเราเป็นหนึ่งในครอบครัว Lazada แล้ว ใครยังไม่โหลดแอพพลิเคชัน Lazada โหลดได้นะครับ เพราะจะเจอกับพวกเราในไลฟ์โชว์ นอกจากนี้ยังมีซุปเปอร์โชว์ด้วยนะครับผม แล้วก็ติดตามได้เลยนะครับทางช่องวัน31 นะครับ บอยแบนด์กรุ๊ปใหม่ในเครือช่องวัน31 นะครับ ตอนนี้ก็สามารถติดตามพวกเราได้ที่ Twitter ช่องวัน31 นะครับผม หลัก ๆ ก็จะเป็น Twitter ของ LAZ iCON นะครับ แล้วก็จะเป็นช่องทางส่วนตัวนะครับผม IG : oueiija Twitter : oueiija แล้วก็สามารถติดตามข่าวสารว่าเราไปไหนมาไหน เราจะไปงานที่ไหน สามารถติดตามทำบ้านเบสของพวกเราทั้งห้าคนได้เลยครับ
สามารถติดตามผลงานของต้าห์อู๋ได้ทาง
IG : oueiija
Twitter : oueiija
* ขอบคุณรูปภาพจาก IG, Twitter : oueiija