เมื่อเรื่องราวในอดีต กลับกลายเป็นแผลในใจที่ทำให้ก้าวต่อไปไม่ได้ DICE จึงขอพาทุกคนไปเข้าเครื่องลบความทรงจำใน Single ใหม่ “พูดไม่ฟัง (Comeback No Comeback)”

“พูดไม่ฟัง (Comeback No Comeback)” Single ใหม่ ลำดับที่ 5 จาก DICE กับเพลงช้าเพลงแรก ที่จะพาทุกคนมูฟออนแบบไม่หันกลับไป กับทั้ง 10 สมาชิก ได้แก่ MIN, ALEX, JAY, APO, JISANG, OBO, CHEESE, MADDOC, OTTO และ FRAME มาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวของการตัดใจ และก้าวข้ามความเจ็บปวด เพื่อเลือกเดินไปข้างหน้าอย่างเข้มแข็ง

DICE กับ Single “พูดไม่ฟัง (Comeback No Comeback)” กลับมาพร้อมกับเพลงช้าครั้งแรกของ DICE และการร่วมงานอีกครั้งกับ ‘แจ๊ป วีรณัฐ ทิพยมณฑล’ จากวง The Richman Toy (เดอะ ริชแมน ทอย) และ PHAT55 มาร่วมโปรดิวซ์ ทำดนตรี และควบคุมการผลิตให้กับ Single นี้ ซึ่งมาพร้อมกับเรื่องราวของคนที่เคยผ่านความเจ็บปวดในอดีต แต่เมื่อคนรักเก่ากลับมาขอคืนดี คำตอบของพวกเขาก็ชัดเจน และหนักแน่น ว่าไม่มีวันเดินกลับไป

โดยตัวเพลงถูกนำเสนอให้มีความเพราะ ฟังง่าย มีกลิ่นอายของเพลงยุค 90 และมีความ Pop R&B ที่มีการร้องประสานในท่อนต่างๆ  อีกทั้งยังใช้เทคนิคของการผสมผสานเครื่องดนตรี และเสียงร้องต่างๆ ในแบบเพลง Pop R&B ที่ DICE ทั้ง 10 คนร่วมกันร้อง แต่ยังสามารถฟังแล้วเป็นหนึ่งเดียวกัน รวมถึงยังมีความฟังง่าย และสามารถเข้าถึงอารมณ์เพลงได้อย่างลงตัว

ซึ่งในครั้งนี้ DICE ได้กลับมาพร้อมกับภาพลักษณ์ที่โตขึ้นอีกเช่นเคย โดยเพลงซิงเกิ้ลนี้ ที่ DICE จะต้องเลือกเดินจากไปจากคนรัก ก็เต็มไปด้วยหลากหลายอารมณ์ความรู้สึกในเพลง ทั้งความเศร้า เสียใจ และการตัดใจเพื่อมูฟออน รวมถึง Concept ภาพลักษณ์ที่แปลกตาขึ้นกับความ Futuristic ที่ให้ความรู้สึกเท่ และหนักแน่นไปกับเพลง

ในส่วนของ Concept ท่าเต้นในเพลงนี้ ทุกท่าได้ถูกดีไซน์ให้มีท่าทางสัญลักษณ์ที่ประกอบไปกับเนื้อเพลง  โดยมีการผสมผสานท่าเต้นหลากหลายสไตล์การเต้นเข้าด้วยกัน (Mixed Style Dance) ประกอบกับการเต้นแบบ R&B ที่เล่นกับจังหวะ กรูฟการเคลื่อนไหว ไปกับคำร้อง ที่เป็นเอกลักษณ์ของ DICE เข้าไป แต่ยังคงเน้นการสื่อสารอารมณ์ของเพลงให้กับผู้ชมให้ได้มากที่สุด

นอกจากนี้ ที่มาของท่าเต้น ได้ทีม THE KHOREO ที่ทำท่าเต้นให้แก่ศิลปิน T-Pop มาอย่างมากมายแล้ว ครั้งนี้ยังได้ MIN, OTTO และ JAY เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบ และดีไซน์ท่าเต้นอีกด้วย จนทำให้ท่าเต้นของเพลงนี้ออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ และมีความเป็น DICE อย่างลงตัว จนได้ออกมาเป็นท่าซิกเนเจอร์ที่ถูกใช้ในแต่ละท่อนต่างๆ โดยเฉพาะท่อนฮุคที่ทุกคนต้องเต้นตามได้อย่างแน่นอน ประกอบกับแต่ละท่าถูกดีไซน์ออกมาให้มีความเท่ แต่ยังคงความหนักแน่นที่แสดงถึงท่าทางที่จะไม่ย้อนกลับไปในความสัมพันธ์เก่าๆ อีกครั้ง

ในส่วนของงานภาพก็มาพร้อมกับ Concept  ‘Heartless’ หรือ คนไร้หัวใจ ที่พูดถึงช่วงเวลาที่กว่าจะต้องใช้ความเข้มแข็ง เด็ดขาด และหนักแน่น เหมือนกับคนไม่มีหัวใจให้กันอีกแล้วในการปฏิเสธคนรักที่กลับมาขอคืนดีได้ขนาดนี้ ต้องผ่านความเจ็บปวดในการก้าวข้ามผ่านความรู้สึก และเรื่องราวต่างๆในอดีตที่ผ่านมาด้วยกันมามากแค่ไหน และเพิ่มความพิเศษด้วยการผสมสานความ Futuristic เข้าไป เพื่อเน้นย้ำความเจ็บปวดของเรื่องราวให้ถึงอารมณ์มากยิ่งขึ้น

Music Video เพลงนี้ก็ได้ผู้กำกับที่ขึ้นชื่อในเรื่อง งานภาพ การเล่าเรื่อง และสื่อสารอารมณ์ อย่าง “เอส ปฏิพล ทีฆายุวัฒน์” มากำกับ Music Video เพลงนี้ให้กับ DICE และเล่าเรื่องราวผ่านแล็บวิทยาศาสตร์แห่งหนึ่ง ที่สมาชิก DICE แต่ละคน เลือกที่จะเข้ามาเพื่อลบความทรงจำที่เจ็บปวดของตัวเอง เพื่อที่จะก้าวข้ามผ่านความสัมพันธ์ที่พวกเขาต้องทนเจ็บปวดไปให้ได้ โดยมีการดีไซน์การเล่าเรื่องราว และงานภาพที่มีความ Cinematic และสื่อสารอารมณ์ รวมถึง Set Design ที่มีความ Futuristic ก็สร้างความพิเศษให้กับ Music Video และสามารถสื่ออารมณ์ไปกับเพลงในมุมมองที่แปลกใหม่ได้อย่างลงตัว

ยิ่งไปกว่านั้น Music Video เพลงนี้ ยังมาพร้อมกับความท้าทายใหม่ๆ ให้กับสมาชิก DICE ทั้ง 10 คน กับการแสดง และถ่ายทอดอารมณ์เพลงที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความเศร้า เสียใจ และเจ็บปวดไปกับเนื้อหาเรื่องราวของเพลง และ Music Video ที่ DICE แต่ละคนก็ได้เตรียมตัว และเข้าคลาสการแสดงกันมาอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างทั้งผลงานเพลง และ Music Video ซิงเกิ้ลนี้ให้ออกมาได้ถึงอารมณ์ผู้ชม และผู้ฟังมากที่สุด

อีกหนึ่งความพิเศษใน Music Video Single นี้ ก็คือ นางเอก Music Video อย่าง ‘เจน’ รมิดา จีรนรภัทร หรือ ที่รู้จักในชื่อ ‘Janeeyeh’ มาร่วมแสดงกับ DICE ในบทนักวิทยาศาสตร์คนรักของ JAY ใน Music Video เพลงนี้อีกด้วย ซึ่งความสามารถในการแสดงของ ‘เจน’ ก็ทำให้เรื่องราวและอารมณ์ของ Music Video ในเพลงนี้ออกมาได้อย่างกลมกล่อม และสมบูรณ์แบบ

เตรียมพบกับเพลง “พูดไม่ฟัง (Comeback No Comeback)” Single ที่ 5 ของ DICE ที่จะพาทุกคนมูฟออนไปพร้อมกัน ที่ YouTube : TADA LABELS และฟังเพลงนี้ได้ในทุก Streaming Platforms